
จากกรณีนายวิราช หอมดอกพุท ชาว จ.สุรินทร์ เดินทางเข้ายื่นหนังสือที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ให้เร่งติดตามความคืบหน้าคดี นางสุมาลี แสงเดือน อายุ 48 ปี ซึ่งเป็นแม่ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่ปี 2558
จนมาทราบว่าแม่กลายเป็นศพนิรนามถูกฆ่ารัดคอ โดยคนร้ายทิ้งศพไว้ในพื้นที่ของ สภ.ท่าตูม อ.เมือง จ.มหาสารคาม ซึ่งลูกและญาติหวั่นว่าคดีจะเงียบ จึงได้เดินทางมายื่นหนังสือดังกล่าว
วันที่ 27 พฤศจิกายน 62 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ยังจุดที่พบศพเมื่อ 4 ปีก่อน ที่บริเวณป่าข้างทางเส้นทางเข้าบ้านโนนแสนสุข หมู่ 6 ต.ห้วยแอ่ง อ.เมือง จ.มหาสารคาม ห่างจากโรงเรียนบ้านโดท่างามประมาณ 100 เมตร
ซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่มีบ้านคนรอบข้างเป็นป่าและเป็นพื้นที่การเกษตร พร้อมทั้งได้สอบถามประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในชุมชน ใกล้บริเวณที่พบศพ
ทั้งนี้จากการสอบถามนางบุญโฮม ทัพทมาตย์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน บ้านโนนแสนสุข ซึ่งมีพื้นที่ปลูกผักอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุกล่าวว่าเมื่อ 4 ก่อน คือปี 2558 ในวันช่วงเช้าวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 ตนเองและสามีก็ได้มาเก็บผักตามปกติ ตั้งแต่เวลาประมาณตี4 ซึ่งก็ผ่านจุดที่ทิ้งศพ แต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะฟ้ายังไม่สว่าง
ต่อมาเห็นพระกลับจากบิณฑบาต พระจึงได้กวักมือเรียกให้ช่วยกันไปดูว่ามีคนตาย จึงไปดูก็พบว่ามีคนตายจริง ๆ สภาพศพนอนคว่ำหน้า เสื้อยกทรงถูกถลกขึ้นสวมกางเกงเลคกิ้ง ที่คอมีเชือกจูงสุนัขรัดอยู่ ซึ่งผู้ตายไม่มีใครทราบว่าเป็นใครมาจากไหน เห็นเพียงแต่ว่าผู้ตายมีรูปร่างตัวเล็ก ๆ ผิวขาว
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้มาสอบปากคำคนที่พบศพและคนที่บ้านเรือนอยู่ใกล้บริเวณนั้น จนล่าสุดได้มาทราบข่าวว่าผู้ตายเป็นคน จ.สุรินทร์ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเพราะลูกชายผู้ตายออกตามหาในพื้นที่บ้านโนนแสนสุขและมาทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณของแม่กลับบ้าน
ด้าน พ.ต.ต.วรวิทย์ ธรรมสุจริต หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรท่าตูม อำเภอเมือง จ.มหาสารคาม เปิดเผยว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 ขณะนั้นตนยังไม่ได้เดินทางมารับตำแหน่ง
โดยได้รายงานว่าหลังจากเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุและเก็บหลักฐานโดยรอบบริเวณที่เกิดเหตุ ก่อนเก็บลายนิ้วมือ ส่งศพไปชันสูตร และเก็บดีเอ็นเอ เพื่อรอยืนยันอัตลักษณ์บุคคล กรณีที่ญาติจะออกตามหา
ซึ่งตอนแรกให้น้ำหนักไปที่ผู้ตายเป็นชาวลาว ด้วยลักษณะทางกายภาพเป็นคนผิวขาวตัวเล็ก และตรวจสอบลายนิ้วมือไม่พบว่าตรงกับคนไทย ก่อนที่นำศพไปฝังไว้ที่สุสานในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และได้มีการล้างป่าช้าไปแล้วเมื่อต้นปี 62
จากนั้นวันที่ 3 ตุลาคม 2562 จึงได้ทราบว่า DNA ของผู้ตายตรงกับของลูกชายที่ออกตามหาแม่เมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งหลังจากทราบเรื่อง เจ้าหน้าที่ก็ได้มีการจัดชุดสืบสวนลงพื้นที่เพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติมความเกี่ยวโยงของคดีและสอบพยานแวดล้อมเพิ่มเติม
ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอน ขอให้ญาติได้มั่นใจว่าตำรวจทำงานอย่างเต็มที่