บ้านชุมแสง ต.ชุมแสง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ได้มีการเปิดศูนย์เรียนรู้ขนาดใหญ่ชื่อ”ฟาร์มบ้านนา บ้านเรา” บนเนื้อที่กว่า 200 ไร่ เป็นศูนย์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เกษตรกรและคนทั่วไปที่สนใจ เข้ามาศึกษาเรียนรู้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
มีบุคคลสำคัญหลายด้านมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เช่นนายอดิพงษ์ ฐิติพิทยา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 5 ,นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ รองประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย , เหล่ากาชาดจังหวัดบุรีรัมย์ ,
ผู้อำนวยการ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานบุรีรัมย์ ,ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ , ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดบุรีรัมย์ , ประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ , ประธานชมรมมัคคุเทศก์จังหวัดบุรีรัมย์
โดยภายในศูนย์เรียนรู้ ดังกล่าว มีการปลูกอินทผลัมหลายสายพันธุ์ อาทิ พันธุ์บาฮี เหลือง บาฮีแดง โคไนซี่ อัมเอ็ดดาฮาน ซักไก นาบัส เมดจูน นาวาเดอร์ , ปลูกหญ้าเนเปียร์สำหรับเลี้ยงสัตว์ ,
เลี้ยงวัวเนื้อหลายสายพันธุ์ เช่น (ราชาเนื้อวัว) สายพันธุ์วากิว , บราห์มัน ชาร์โรเล่ส์ ,แองกัส และ สายพันธุ์พื้นบ้าน , การทำปุ๋ยมูลไส้เดือน และการทำเกษตรอินทรีย์
เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและศึกษาเรียนรู้ให้กับพี่น้องเกษตรกรทุกคน ที่อยากเรียนรู้ วิธีบริหารจัดการทำเกษตร การทำฟาร์มแบบครบวงจรที่ถูกต้อง พร้อมทั้งได้สร้างหอประชุมเพื่อรองรับการอบรม สัมมนา ให้กับผู้ที่สนใจอีกด้วย
นายสำเรือง พินงรัมย์ ชาวอำเภอกระสัง จ.บุรีรัมย์ จากอดีตกรรมกรที่สู้ชีวิตจนประสบผลสำเร็จกลายเป็นนักธุรกิจพันล้าน ได้เปิด “ฟาร์มบ้านนา บ้านเรา”
เพื่อหวังให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรแบบครบวงจรและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรผสมผสาน บนเนื้อที่เกือบ 200 ไร่ ที่บริเวณถนนสายกระสัง-ลำดวน ตำบลชุมแสง อ.กระสัง
นายสำเรือง พินงรัมย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สีมาโลหะภัณฑ์ จำกัด และ ฟาร์มบ้านนาบ้านเรา กล่าวว่า ในอดีตเป็นลูกชาวนา ไปรับจ้างเป็นกรรมกรต่างจังหวัด และได้มีโอกาส ทำธุรกิจประเภทโลหะ จนปัจจุบัน เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทแล้ว 3 บริษัท
หลังจากรู้สึกอื่มตัว จึงอยากจะกลับมาพัฒนาบ้านเกิดที่บุรีรัมย์ เพราะมองเห็นปัญหาของเกษตรกรในฟื้นที่ภาคอีสานที่มักประสบปัญหาขาดทุนจากการปลูกข้าว เนื่องจากสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะน้ำ ที่ค่อนข้างแห้งแล้ง
จึงใช้ที่ดินมรดกของตัวเองประมาณ 30 ไร่ และซื้อเพิ่มเติมอีก เปลี่ยนฟื้นที่นาข้าวหันมาทำเกษตรแบบผสมผสาน โดยพื้นที่ฟาร์มทั้งหมด 2 แปลง แบ่ง ฟาร์มวัว 26 ไร่ สวนอินทผลัม 33 ไร่ แปลงหญ้าเนเปียร์ 50 ไร่ นาข้าวมะลิ 85 ไร่ รวมทั้งหมด 194 ไร่ ในฟาร์มได้เลี้ยงโคขุนวัววากิว เพื่อขายเนื้อ ปลูกหญ้าเนเปียร์สำหรับเลี้ยงวัว และต้นอินทผลัม เพื่อสร้างมูลค่าและรายได้ให้เกษตรกร ซึ่งการทำเกษตรแบบผสมผสานนี้ จะสามารถสร้างผลกำไรจากการเก็บเกี่ยวผลผลิต อีกทั้งยังเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้กับชุมชน อีกด้วย
นายสำเรือง กล่าวด้วยว่า หลักสูตรต่างๆ ที่นำมาบรรจุอยู่ในศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ ได้ถอดแบบมาจากแนวทางรัชกาลที่ 9 คือ”ไม่เน้นปลูกพืชเชิงเดี่ยว หากเกษตรมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน เชื่อว่าเกษตรกรไทยจะไม่จนอย่างแน่นอน
